วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น และ บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา





บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น


บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิท ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.  คนตาบอด  หมายถึง  คนที่สูญเสียการเห็นมากจนต้องสอนให้อ่านอักษรเบรลล์หรือใช้วิธีการฟังเทปหรือแผ่นเสียง   เป็นการสูญเสียการมองเห็น 2/200 หรือน้อยกว่านั้นหากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดี เมื่อแก้ไขแล้วควรอยู่ในระดับ หรือจนบอดสนิท และลานสายตาแคบกว่า 20 องศา ต้องสอนให้อ่านหนังสือเบรลล์ ฟังเทปหรือแผ่นเสียง

2.  คนเห็นเลือนราง  หมายถึง  คนที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษร ตัวพิมพ์ที่ขยายใหญ่ได้ หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ระหว่างหรือถึงและลานสายตาแคบกว่า 30 องศา เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นประเภทมองเห็นเลือนรางนี้ ภายหลังจากการแก้ไขแล้วจะมองเห็นได้บ้างและสามารถใช้สายตาได้บ้าง ในระยะ 20/70 หมายความว่า บุคคลนี้จะมองเห็นได้ในระยะ 20 ฟุตโดยคนตาปกติจะมองเห็นได้ในระยะ 70 ฟุต

การสังเกตพฤติกรรมเด็กที่มีความบกพร่องทางมองเห็น
1. ขยี้ตาบ่อย ๆ เหมือนพยายามทำให้ภาพที่ไม่ชัดให้ปรากฏชัดขึ้น
2. เวลามองวัตถุมักป้องตา
3. ถือหนังสือไว้ใกล้ตามาก หรือก้มหน้าใกล้หนังสือ
4. กระพริบตาถี่มากกว่าปกติ
5. มีความยุ่งยากในการอ่านหนังสือ หรือการทำงานที่ต้องใช้สายตา
6. ตามักช้ำแดงและมีน้ำตา ขี้ตากรัง
7. ทำตาหรี่ หรือขยี้ตาขณะที่มอง
8. มักพูดว่าตัวหนังสือหรือรูปภาพเต้น หรือมองอะไรมัวๆ หรือเป็นภาพซ้อน
9. ไม่สามารถอ่านหนังสือเรียงตามบรรทัดได้นาน มักอ่านหนังสือกลับไปกลับมา
10. เวลาอ่านหนังสือมักจะสับสนเมื่ออ่านอักษรที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น ก,,ภ หรือ บ กับ ป
หรือ อ กับ ฮ
11. ลูกตาดำมีลักษณะผิดปกติ

สาเหตุของความบกพร่องทางการเห็น
การเกิดความบกพร่องทางการเห็น จนถึงตาบอด  อาจมีสาเหตุใหญ่ๆประการ  คือ
1. ความผิดปกติของดวงตา
กิดจากความเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อตาเป็นเหตุให้  สายตาสั้น  สายตายาว  หรือเกิดมีปัญหาจากการปรับภาพที่เลนส์ในดวงตา  เป็นต้น  ความผิดปกติอาจเกิดจากอุบัติเหตุ  การไม่ถนอมสายตาหรืออาจเกิดจากกรรมพันธุ์
2. ความผิดปกติของสายตา
เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ  จากอุบัติเหตุต่างๆที่เป็นอันตรายต่อดวงตา  จากฤทธิ์ยาบางประเภทตลอดจนใช้ยาผิด  โรคบางอย่างที่ไม่สามารถป้องกันได้  เช่น  เนื้องอกที่ตา  โรคเหล่านี้อาจทำให้ตาบอดหรือมีความบกพร่องทางสายตาอย่างรุนแรง

ลักษณะที่มีความผิดปกติของสายตา
1.  มีอาการคันตาเรื้อรัง  น้ำตาไหลอยู่เสมอ  หรือมีอาการตาแดงบ่อยๆ
2.  มักมองเห็นภาพซ้อน  วิงเวียนศีรษะ  มองเห็นไม่ชัดเจนในบางครั้ง
3.  เวลามองวัตถุในระยะไกลๆต้องขยี้ตาหรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว
4.  เวลาเดินต้องมองอย่างระมัดระวังหรือเดินช้าๆโดยกลัวจะสะดุดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขวางหน้า
5.  ไม่สนใจดูภาพที่ติดตามฝาผนัง  หรือข้อความที่เขียนบนกระดานดำ
6.  มักขยี้ตาบ่อยๆ
7.  ไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้สายตา
8.  กระพริบตาบ่อยๆ
9.  อ่านหนังสือได้ในระยะเวลาสั้น
10.  สายตาสู้แสงสว่างไม่ได้


ป้องกันและแก้ไข
1.  ทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินเอสูง  เช่น  ไข่ นม  ผักสดใบเขียว  ผลไม้  น้ำมันตับปลา
2.  หญิงมีครรภ์ในระยะ  3  เดือนแรก ต้องระวังรักษา สุขภาพอนามัยให้ดี  ไม่ควรเลือกซื้อยามาใช้เอง 
ไม่ควรฉายแสงเอกซเรย์ที่มดลูก
3.  รักษาความสะอาดของร่างกายและอนามัยของตา  โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์
4.  ระวังอุบัติเหตุที่ดวงตาของเด็กเล็กๆ
5.  ถ้าเป็นโรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  ไทรอยด์  ข้อพิการและโรคจากต่อมไร้ท่อ  ต้องปฏิบัติตาม
คำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
6.  ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง
7.  เด็กตาเข  ตาเหล่ อาจแก้ไขรักษา  โดยการใช้แว่นหรือผ่าตัดได้
8.  เมื่อตาได้รับอุบัติเหตุต้องปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี  และอย่าใช้ยาหยอดตา



ความบกพร่องทางสติปัญญา

              “ความบกพร่องทางสติปัญญา” เป็นคำที่นำมาใช้แทนคำว่า “ปัญญาอ่อน” เนื่องจากคำเดิมถูก
นำไปใช้ในทางลบค่อนข้างมาก คำนี้ ตรงกับศัพท์ทางการแพทย์ที่เรียกย่อว่า “เอ็มอาร์” (MR - Mental
Retardation) ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นคำว่า “ไอดี” (Intellectual Disabilities) ซึ่งทั้งสองคำนี้
มีคำจำกัดความเหมือนกัน คือนำมาใช้แทนกันได้เลยเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มักมีปัญหาเกือบทุก
ด้านในชีวิตประจำวัน และปัญหาการเรียน เนื่องจากเด็กมีข้อจำกัดหรือเพดานในการเรียนรู้ ทำให้ไม่สามารถทำ
สิ่งต่างๆได้เท่ากับเพื่อนในวัยเดียวกัน เป็นภาวะที่สมองหยุดพัฒนาหรือพัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความ
บกพร่องของทักษะด้านต่างๆ ในระยะพัฒนาการ และส่งผลกระทบต่อระดับเชาวน์ปัญญาทุกๆ ด้าน

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1)  ความสามารถทางสติปัญญาต่ำว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ คือ มีระดับเชาว์ปัญญา หรือไอคิว ต่ำกว่า 70
2)  มีความบกพร่อง หรือไม่สามารถปรับตัวในชีวิตประจำวัน (เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกัน ในวัฒนธรรม
เดียวกัน) อย่างน้อย 2 ทักษะต่อไปนี้ คือ
2.1. การสื่อความหมาย (Communication)
2.2. การดูแลตนเอง (Self-care)
2.3. การดำรงชีวิตในบ้าน (Home Living)
2.4. ทักษะทางสังคม (Social / Interpersonal Skills)
2.5. ทักษะในการเรียน (Functional Academic Skills)
2.6. การรู้จักใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน (Use of Community Resources)
2.7. การควบคุมตนเอง (Self-direction)
2.8. การทำงาน (Work)
2.9. การใช้เวลาว่าง (Leisure)
2.10.การดูแลสุขภาพ และความปลอดภัย (Health and Safety)
3)  เริ่มมีอาการก่อนอายุ 18 ปี


ลักษณะอาการ และระดับความรุนแรง
ระดับน้อย (Mild Mental Retardation)
มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 50-70 อาจไม่แสดงอาการล่าช้าจนกระทั่งวัยเข้าเรียน (แต่ถ้าสังเกต
อย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าเด็กเหล่านี้ มีความสามารถตํ่ากว่าเกณฑ์อย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วัยอนุบาล)
ไม่มีอาการแสดงทางร่างกาย ทางบุคลิกภาพ หรือทางพฤติกรรมใดโดยเฉพาะ ที่บ่งบอกถึงความ
บกพร่องทางสติปัญญา
ยกเว้นกลุ่มอาการที่มีลักษณะพิเศษทางรูปร่างหน้าตา ปรากฏให้เห็น ก็จะทำให้สามารถวินิจฉัย
ได้ตั้งแต่แรกเกิด หรือในวัยทารก อาทิ กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) แต่ความผิดปกติเหล่านี้ ก็
เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
เด็กในกลุ่มนี้ สามารถพัฒนาทักษะด้านสังคม และการสื่อความหมายได้เหมือนเด็กทั่วไป แต่มัก
มีความบกพร่องด้านประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหว สามารถเรียนรู้ได้(educable) ทักษะทาง
วิชาการมักเป็นปัญหาสำคัญที่พบในวัยเรียน แต่ก็สามารถเรียนจนจบชั้นประถมปลายได้
สามารถฝึกทักษะด้านสังคมและอาชีพ พอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เป็นแรงงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะฝีมือ
หรือกึ่งใช้ฝีมือ แต่อาจต้องการคำแนะนำ และการช่วยเหลือบ้างเมื่อประสบความเครียด
ระดับปานกลาง (Moderate Mental Retardation)
มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 35-50 ในช่วงขวบปีแรก มักจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวปกติ
แต่พัฒนาการด้านภาษาและด้านการพูดจะล่าช้า ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงวัยเตาะแตะ การศึกษา
หลังจากระดับชั้นประถมต้น มักไม่ค่อยพัฒนา
สามารถฝึกอบรมได้ (trainable) ในทักษะการช่วยเหลือ ดูแลตนเอง เรียนรู้ที่จะเดินทางได้ด้วย
ตนเองในสถานที่ที่คุ้นเคย และฝึกอาชีพได้บ้าง สามารถทำงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะฝีมือ แต่ควรอยู่ภายใต้
การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
ระดับรุนแรง (Severe Mental Retardation)
มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 20-35 มักจะพบทักษะทางการเคลื่อนไหวล่าช้าอย่างชัดเจน ด้านภาษา
พัฒนาเล็กน้อย ทักษะการสื่อความหมายมีเพียงเล็กน้อยหรือไม่มี พอจะฝึกฝนทักษะการดูแล
ตนเองเบื้องต้นได้บ้างแต่น้อย ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมภายใต้การควบคุมดูแลอย่างเต็มที่ การทำงาน
ต้องการโปรแกรมในชุมชน หรือการให้ความช่วยเหลือที่พิเศษเป็นการเฉพาะ
ระดับรุนแรงมาก (Profound Mental Retardation)
มีระดับไอคิวต่ำกว่า 20 มีพัฒนาการล่าช้าอย่างชัดเจนในทุกๆด้าน มักมีพัฒนาการด้านการ
เคลื่อนไหว และฝึกการช่วยเหลือตนเองได้บ้าง มีขีดจำกัดในการเข้าใจและการใช้ภาษาอย่างมาก

ต้องการความช่วยเหลือ ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา


สาเหตุ
ส่วนใหญ่ไม่สามารถระบุหาสาเหตุที่ชัดเจนได้(ร้อยละ 30-50) มักเกิดจากหลายสาเหตุเป็ น
ปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางชีวภาพ และปัจจัยทางจิตสังคมปัจจัยทางชีวภาพ เป็นสาเหตุได้ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์
ขณะคลอด และหลังคลอด มักพบมีความผิดปกติอื่นร่วมด้วย สาเหตุได้แก่
- โรคทางพันธุกรรม
- การติดเชื้อ
- การได้รับสารพิษ
- การขาดออกซิเจน
- การขาดสารอาหาร
- การเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
ปัจจัยทางจิตสังคม เช่น ขาดการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ถูกทอดทิ้ง ครอบครัวแตกแยก ฐานะยากจนอยู่ใน

ภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ขาดความกระตือรือร้น ขาดแรงจูงใจที่ดี


การป้องกัน
ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่เป็นสาเหตุ การตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง และการดูแลรักษาแต่เริ่มแรก จะ
ช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ภาวะแทรกซ้อน และผลกระทบต่างๆ ที่ตามมาแนวทางในการป้องกันปัญหา
ความบกพร่องทางสติปัญญา มีดังนี้
1. คู่สมรสควรมีการวางแผนครอบครัวล่วงหน้า
2. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์
3. ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ซื้อยาทานเอง
4. กลุ่มที่มีความเสี่ยงควรรับการตรวจเพิ่มเติม เช่น มารดาที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
5. หลังคลอด ควรติดตามประเมินพัฒนาการตามวัย ถ้ามีปัญหาพัฒนาการล่าช้า ควรรับการ
ตรวจ ประเมินเพิ่มเติม และส่งเสริมพัฒนาการแต่แรกเริ่มที่สงสัย
6. เอาใจใส่ดูแลเด็กอย่างเหมาะสม ให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีโอกาสได้

เรียนรู้อย่างเหมาะสมตามวัย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น